วรรณคดี ไทยเป็นวรรณกรรมที่ถือเอาเสียงไพเราะเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรณคดีประเภทร้อยกรอง นอกจากจะถือเอาความไพเราะของเสียงเป็นสำคัญแล้ว ในการประพันธ์วรรณกรรมประเภทฉันท์ จะต้องถือคำ ครุ ลหุ เป็นสำคัญอีกด้วย คำที่เป็นเสียงลหุในภาษาไทยมีน้อยมาก จึงจำเป็นจะต้องใช้ศัพท์ภาษาบาลีและสันสกฤต เพราะสามารถเลือกคำ ลหุ ครุ ได้มากและสามารถดัดแปลงให้เข้ากับภาษาของเราได้ดี ตัวอย่าง ข้าขอเทิด ทศนัขประณามคุณพระศรี สรรเพชญพระผู้มี พระภาค อีก ธรรมาภิสมัยพระไตรปิฏกวากย์ ทรงคุณคะนึงมาก ประมาณ (สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 – อิลราชคำฉันท์) 2. คน ไทยถือว่าคำบาลีและสันสกฤตเป็นคำสูง เพราะเป็นคำที่ใช้เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า และผู้ที่ใช้คำภาษาบาลีและสันสกฤตส่วนใหญ่อยู่ในฐานะควรแก่การเคารพบูชาทั่ว ไป เช่น พระสงฆ์ พราหมณ์ เป็นต้น ดังนั้นการแต่งฉันท์ที่ถือกันว่าเป็นของสูง จึงนิยมใช้คำบาลีและสันสกฤต 3. วรรณคดี ไทยโดยมากมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรๆวงศ์ๆ ซึงจะต้องใช้คำราชาศัพท์ การใช้คำภาษาบาลีและสันสกฤตที่เป็นคำราชาศัพท์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเช่น พระเนตร พระพักตร์ พระกรรณ เป็นต้น 4. การ ใช้คำภาษาบาลีและสันสกฤตแต่งฉันท์ เป็นเครื่องแสดงภูมิรู้ของผู้แต่งว่ามีความรู้ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นอย่าง ดี มีคนเคารพนับถือและยกย่องว่าเป็น " ปราชญ์ " หลักการสังเกตคำภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย ตารางเปรียบเทียบภาษาบาลี – สันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต 1.
0 1995 HTML 3. 2 1997 HTML 4. 01 1999 XHTML 2000 HTML5 2014 เว็บเบราเซอร์ เว็บเบราเซอร์ ที่รองรับภาษา HTML (เช่น Chrome, IE, Firefox, Safari) คือการอ่านเอกสาร HTML และแสดงข้อมูลเหล่านั้น เบราว์เซอร์ไม่แสดงแท็ก HTML แต่จะใช้เพื่อกำหนดวิธีการแสดงเอกสาร
สันสกฤตใช้ ษ กษ หลักการอ่านคำบาลี การอ่านคำตามอักษรวิธีของภาษาบาลี มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากภาษาไทยเล็กน้อย คือ ๑. ถ้าคำนั้นพยางค์ใดไม่มีสระกำกับอยู่ ให้อ่านออกเสียงเหมือนมีสระ " อะ " เช่น สรณ อ่านว่า สะ – ระ - นะ ( ที่นั่ง) คมน อ่านว่า คะ – มะ - นะ ( ไป) อมร อ่านว่า อะ – มะ - ระ ( ผู้ไม่ตาย) อจล อ่านว่า อะ – จะ - ละ ( ไม่หวั่นไหว) ปร อ่านว่า ปะ – ระ ( อื่น) ๒. ถ้าคำนั้นมีหลายพยางค์ บางพยางค์มีสระกำกับ บางพยางค์ที่ไม่มี พยางค์ใดมีสระอะไรกำกับก็ให้อ่านออกเสียงสระนั้น ส่วนพยางค์ที่ไม่มีสระกำกับให้อ่านออกเสียงสระ " อะ " เช่น ทิว อ่านว่า ทิ – วะ ( กลางวัน) สมีร อ่านว่า สะ – มี - ระ ( ลม) อริย อ่านว่า อะ – ริ - ยะ ( เจริญ) ๓. ถ้าคำนั้นตัวใดมีเครื่องหมาย. ( พินทุ) อยู่ข้างล่าง แสดงว่าตัวนันเป็นตัวสะกด ต้องอ่านเป็นตัวสะกด เช่น ขฺนติ อ่านว่า ขัน – ติ ( อดทน) จาริตฺต อ่านว่า จา – ริด - ตะ ( ประเพณี) ปจฺจตฺถรณ อ่านว่า ปัด – จัด – ถะ - ระ - นะ ( ที่นอน) ๔. คำที่มีนฤคหิต ( °) อยู่ข้างบน อ่านออกเสียง " อัง " เช่น สรณ ° อ่านว่า สะ – ระ - นัง ( ที่พึ่ง) ป ° สุ อ่านว่า ปัง – สุ ( ฝุ่น) ธมฺม ° อ่านว่า ธัม – มัง ( พระธรรม) ๕.
แต่ละภาษาย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะภาษาแต่ละภาษานั้นมีโครงสร้างทั้งทางเสียงและทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกันย่อมนำมาซึ่งความหมายที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้แต่ในภาษาเดียวกันแต่มีโครงสร้างที่แตกต่างกันย่อมมีลักษณะความหมายที่แตกต่างกันไปด้วย ๑๒. ภาษาย่อมไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว กล่าวคือ แม้ว่าภาษาจะมีระบบโครงสร้างที่ชัดเจน แต่ความจริงแล้วโครงสร้างเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดได้อย่างตายตัว ทั้งนี้เพราะต้องอาศัยบริบทต่าง ๆ ช่วยเหลือให้ภาษาเหล่านั้นมีความหมายหรือเสียงต่างจากเก่าได้ ๑๓. ภาษาทุกภาษาย่อมมีค่าแห่งความเป็นภาษาเท่าเทียมกัน กล่าวคือ ภาษาย่อมมีคุณค่าความสำคัญเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหนก็ตามทีทั้งนี้เพราะภาษาทุกภาษาย่อมกฎเกณฑ์และมาตรฐานที่ต่างกันแต่มีศักดิ์ในการสื่อสารเท่าเทียมกัน ๑๔. ภาษาเป็นวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ภาษาเป็นการออกเสียงโดยการกักเสียงหรือระเบิดเสียงตามหลักทางวิทยาศาสตร์สามารถฝึกหัดและเรียนรู้ได้ ศาสตร์ในการเรียนรู้ภาษาโดยอาศัยวิทยาศาสตร์ตั้งเรียนรู้ตั้งแต่ระบบสมองสั่งการ ระบบของอวัยวะออกเสียง ระบบเสียง เรียกศาสตร์แขนงนี้ว่าภาษาศาสตร์ ๑๕. ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปร เนื่องจากภาษาเป็นการวางเงื่อนไขของสังคมแต่ละสังคม ดังนั้นเมื่อมีผลกระทบอันเกิดจากภาษาย่อมมีการแปรเปลี่ยนภาษาได้ตามเหตุการณ์นั้น ๆ ทางสังคมอย่างแน่นอน ๑๖.
สระมี 8 ตัว คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ 1. สระมี 14 ตัว เพิ่มจากบาลี 6 ตัว คือ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา (แสดงว่าคำที่มีสระ 6 ตัวนี้จะเป็นบาลีไม่ได้เด็ดขาด) 2. มีพยัญชนะ 33 ตัว (พยัญชนะวรรค) 2. มีพยัญชนะ 35 ตัว เพิ่มจากภาษาบาลี 2 ตัว คือ ศ ษ (แสดงว่าคำที่มี ศ ษ เป็นภาษาสันสกฤต *ยกเว้น ศอก ศึก เศิก โศก เศร้า เป็นภาษาไทยแท้) 3. มีตัวสะกดตัวตามแน่นอน เช่น กัญญา จักขุ ทักขิณะ ปุจฉา อัณณพ คัมภีร์ เป็นต้น 3. มีตัวสะกดและตัวตามไม่แน่นอน เช่น กันยา จักษุ ทักษิณ ปฤจฉา วิทยุ อัธยาศัย เป็นต้น 4. นิยมใช้ ฬ เช่น กีฬา จุฬา ครุฬ เป็นต้น (จำว่า กีฬา-บาลี) 4. นิยมใช้ ฑ เช่น กรีฑา จุฑา ครุฑ (จำว่า กรีฑา-สันสกฤต) 5. ไม่นิยมควบกล้ำและอักษรนำ เช่น ปฐม มัจฉา สามี มิต ฐาน ปทุม ถาวร เปม กิริยา เป็นต้น 5. นิยมควบกล้ำและอักษรนำ เช่น ประถม มัตสยา สวามี มิตร สถาน ประทุม สถาวร เปรม กริยา เป็นต้น 6. นิยมใช้ "ริ" เช่น ภริยา จริยา อัจฉริยะ เป็นต้น 6. นิยมใช้ รร (รอหัน) เช่น ภรรยา จรรยา อัศจรรย์ เป็นต้น เนื่องจากแผลงมาจาก รฺ (ร เรผะ) เช่น วรฺณ = วรรณ ธรฺม = ธรรม * ยกเว้น บรร เป็นคำเขมร 7. นิยมใช้ ณ นำหน้าวรรค ฏะ เช่น มณฑล ภัณฑ์ หรือ ณ นำหน้า ห เช่น กัณหา ตัณหา 7.
ภาษามีระดับ ภาษาย่อมมีระดับในการใช้เพื่อให้เหมาะสมกับกาลเทศะและถูกต้องตามบริบทที่เผชิญอยู่ โดยมากแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ภาษาปาก ภาษากึ่งแบบแผน และภาษาแบบแผน(ภาษาราชการ) ๘. ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกัน กล่าวคือภาษาเป็นเรื่องของหมู่ชนที่ต้องทำความเข้าใจหรือวางสัญลักษณ์ที่เข้าใจร่วมกัน ๙. ภาษาย่อมเกิดจากการเรียนรู้ กล่าวคือ มนุษย์จะเรียนรู้ภาษาได้ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังคนอื่นพูดมาก่อนแล้วค่อยเลียนแบบอย่างตาม การเรียนรู้ภาษาของมนุษย์อยู่ในทุกช่วงวัย นับตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา มนุษย์ย่อมมีการเรียนรู้ภาษาอยู่เสมอ การเรียนรู้ภาษานั้นต้องอาศัยการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางสังคมไม่ใช้สัญชาตญาณ กล่าวคือ หากเด็กที่มีพ่อแม่เป็นคนจีนมาอยู่ในสังคมไทยย่อมพูดภาษาไทยได้แต่ไม่สามารถพูดภาษาจีนอันเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองได้ แต่เด็กคนนี้ย่อมมีสัญชาตญาณในการเรียนรู้ภาษาจีนได้ดีกว่าคนไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์จีน ๑๐. ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสาร ภาษาเป็นเครื่องมือที่สื่อความรู้ ความคิด ความรู้สึกของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร โดยกระบวนการสื่อสารนั้นต้องอาศัยภาษาเป็นเครื่องมือที่เข้าใจร่วมกัน นั่นคือภาษานั่นเอง ๑๑.
ลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤต ภาษา บาลีและสันสกฤตอยู่ในตระกูลภาษาที่มีวิภัตปัจจัย คือเป็นภาษาที่ที่มีคำเดิมเป็นคำธาตุ เมื่อจะใช้คำใดจะต้องนำธาตุไปประกอบกับปัจจัยและวิภัตติ เพื่อเป็นเครื่องหมายบอกพจน์ ลึงค์ บุรุษ กาล มาลา วาจก โครงสร้างของภาษาประกอบด้วย ระบบเสียง หน่วยคำ และระบบโครงสร้างของประโยค ภาษาบาลีและสันสกฤตมีหน่วยเสียง 2 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยัญชนะ ดังนี้ 1. หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงสระภาษาบาลีมี 8 หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ หน่วย เสียงภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลี 8 หน่วยเสียง และต่างจากภาษาบาลีอีก 6 หน่วยเสียง เป็น 14 หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ 2. หน่วยเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะภาษาบาลีมี 33 หน่วยเสียง ภาษาสันสกฤตมี 35 หน่วยเสียง เพิ่มหน่วยเสียง ศ ษ ซึ่งหน่วยเสียงพยัญชนะทั้งสิงภาษานี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค วิธีสังเกตคำบาลี 1. 1. สังเกตจากพยัญชนะตัวสะกดและตัวตาม ตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประกอบอยู่ข้างท้ายสระประสมกับสระและพยัญชนะต้น เช่น ทุกข์ = ตัวสะกด ตัวตาม คือ ตัวที่ตามหลังตัวสะกด เช่น สัตย สัจจ ทุกข เป็นต้น คำในภาษาบาลี จะต้องมีสะกดและตัวตามเสมอ โดยดูจากพยัญชนะบาลี มี 33 ตัว แบ่งออกเป็นวรรคดังนี้ แถวที่ 1 2 3 4 5 วรรค กะ ก ข ค ฆ ง วรรค จะ จ ฉ ช ฌ ญ วรรค ฏะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรค ตะ ต ถ ท ธ น วรรค ปะ ป ผ พ ม เศษวรรค ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อัง หลักการจำ... ไก่ ไข่ ควาย ฆ่า งู โจ โฉ่ ช้าง เฌอ หญิง ฏัก ฐาน โฑ เฒ่า เณร ตา โถ ทำ นู ปลา ผึ้ง พาน เภา ม้า ย าย เ รา เ ล่า ว่า ศรี ษะ เสือ หาย ฬ อัง มีหลักสังเกต ดังนี้ ก.