นอกจากจะต้องกินยาและปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดแล้ว ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อจะได้ป้องกันก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรงตามมา โดยอาการที่เกิดจากโรคเบาหวานที่ทำให้เกิดอันตรายมีอยู่ 2 แบบ คือ 1. อาการที่เกิดจากภาวะน้ำตาล ในเลือด ต่ำ เช่น เหงื่อออก ใจสั่น มือสั่น รู้สึกหิว อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง สับสน หมดสติ ชัก 2. อาการที่เกิดจากภาวะน้ำตาล ในเลือด สูง เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง สับสน หมดสติ ชัก โดยเฉพาะอาการระดับน้ำตาล ในเลือด สูง หากปล่อยเอาไว้นาน จนไม่สามารถควบคุมได้ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมามากมาย เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ( โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน โรคไตเรื้อรัง และเกิดอาการ จากเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ทำให้เกิดภาวะตาพร่ามัว นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการ จากระบบประสาทส่วนปลายเสื่อม มีอาการชาปลายมือปลายเท้าได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานทุกคน ควรตรวจสอบอาการของตัวเองอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติจะได้รีบรักษา ก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง อ. นพ. ธเนศ แก่นสาร ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำบ่อย 2. คลื่นไส้อาเจียนมาก 3. อ่อนเพลีย อ่อนแรง 4.
ศ. 2019 มีคนเป็นเบาหวานอยู่ 463 ล้านคนทั่วโลก และคาดการณ์ว่าอีก 9 ปีข้างหน้า ในปี ค. 2030 จะมีคนเป็นเบาหวาน 578 ล้านคนทั่วโลก นั่นคือเพิ่มขึ้นถึง 115 ล้านคนทั่วโลก โดยประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญนอกจากจำนวนผู้เป็นที่เพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว คือ ผู้เป็นเบาหวานควรเข้าถึงการดูแลรักษาเบาหวานที่ถูกต้อง เหมาะสม และทั่วถึง อาจารย์ ดร. ชลธิรา เรียงคำ อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงสถานการณ์เบาหวานสำหรับในประเทศไทยนั้น จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ในประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่าสถิติผู้เป็นเบาหวาน ในปี พ. 2552 มีอยู่ร้อยละ 6. 9 ต่อมาปี พ. 2557 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8. 9 หรือประมาณ 4. 8 ล้านคน และผลการสำรวจล่าสุดปี พ. 2562-2563 พบว่ามีผู้เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9. 5 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเหมือนทั่วโลก ประมาณร้อยละ 70 ของคนที่เป็นเบาหวานยังควบคุมโรคได้ไม่ดี ซึ่งยังเป็นที่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่มีความรุนแรงตามมาได้ นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบข้อมูลอีกว่ามีผู้ที่มีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่เป็นเบาหวาน ประมาณร้อยละ 10.
รักษาด้วยยา แพทย์จะวินิจฉัยจากสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น หากเกิดจากเกล็ดเลือดถูกทำลาย ก็อาจใช้ยาที่ช่วยยับยั้งการทำลายเกล็ดเลือด หรือในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ก็อาจใช้ยาที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ส่วนในเคสที่ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดได้ไม่เหมือนเดิม แพทย์ก็อาจให้ยากระตุ้นให้ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การเลือกใช้ยารักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ด้วยค่ะ 2. รักษาด้วยการให้เลือดและเกล็ดเลือด ในเคสที่ผู้ป่วยมีเลือดออก หรือเสียเลือดมาก แพทย์ก็จะให้เลือดและเกล็ดเลือดเพื่อทดแทนในส่วนที่สูญเสียไป 3.
#เบาหวาน #คออะไร #อาการของโรคเบาหวาน. หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ ขอแสดงความนับถือ.