การค้นหาตัวตนควรจะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมตั้งแต่เกิดหรือไม่? ทุกวันนี้เราก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสืออย่างหนักเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยความชอบจริงๆ? หรือมันเป็นเพียงไม่กี่ทางเลือกที่สังคมบีบให้เราต้องเดิน?
6 และนักศึกษาปี 4 จำนวน 90 คน WAY สำรวจความเข้าใจของเด็กไทยเกี่ยวกับ Gap year พบว่า เด็กส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Gap year จากการตอบแบบสอบถาม จำนวน 64 คน (71. 11%) รู้จักว่า Gap year คือช่วงระยะเวลาหลังจากเรียนจบ ม. 6 หรือปี 4 ในการหยุดพัก ออกไปค้นหาตนเอง ค้นหาสิ่งที่ชื่นชอบในสถานที่ต่างๆ ก่อนจะกลับมาศึกษาต่อหรือก่อนทำงานจริง ขณะเดียวกัน เด็ก 26 คน (28. 89%) ยังไม่รู้จักและไม่เข้าใจความหมายของ Gap year 1 ปีของ Gap year และสิ่งที่อยากทำมากที่สุด ตัวเลขที่บ่งชี้ถึงความต้องการของนักเรียน นักศึกษา และมีนัยสำคัญถึงระบบการศึกษา พบว่า เด็กจำนวน 39 คน (43. 3%) ตอบว่า อยากค้นหาตัวตนด้วยการลองทำสิ่งใหม่ๆ ส่วนนักเรียนจำนวน 18 คน (20%) ต้องการทำงานหารายได้เพื่อใช้ในการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกัน มีนักเรียนที่ต้องการเข้าโครงการแลกเปลี่ยน (Work & Travel) เพื่อท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆ จำนวน 11 คน (12. 2%) เนื่องจากความเครียดจากระบบการศึกษาที่สะสมมาโดยตลอด และสุดท้ายอีก 11 คน (12. 2%) ยังไม่ทราบว่าควรทำอะไรในช่วง Gap year จากคำถาม 'ความเป็นจริงในสังคมไทย เปิดโอกาสให้คนๆ หนึ่งสามารถ Gap year ได้หรือไม่' ตัวเลขบ่งชี้ผลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างว่า นักเรียน นักศึกษาจำนวน 41 คน (45.
นี่เลยเป็นจุดเริ่มต้นล่ะมั้ง… เชื่อว่า… "ความฝันจะสำเร็จได้ต้องลงมือทำ" " ทำไมถึงซิ่ว? " น่าจะ…เป็นคำถามที่เด็กซิ่วทุกคน ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะ ถูกถาม ได้ เริ่มจาก ถามใจตัวเอง > พ่อแม่ถาม > ญาติโกโหติกา > เพื่อนในคณะ > เพื่อนนอกคณะ > เพื่อนมัธยม > พ่อแม่เพื่อน > เพื่อนพ่อแม่ > คุณครู > คนสัมภาษณ์ > ∞ ข่าาาาาา ความรู้สึกตอนโดนถาม oh!
Gap Year ที่ญี่ปุ่น น้องๆจบใหม่ ยุค 4. 0 ทุกคน คงต้องมีความฝัน อยากจะไปเรียนต่อในประเทศที่ตัวเองชอบ หรือ อยากจะเดินทางไปท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวประสบการณ์สักครั้งในชีวิต ใช่มั้ยคะ เจ๊ได้รับคำปรึกษากับน้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาหลายคน ว่ารู้สึกตัวเองยังไม่เก่งเลย ถ้ายังไม่ทำงาน แต่อยากจะ Take Gap Year ไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นระยะยาวดูสักครั้ง ให้ได้ภาษาที่สามเพิ่ม ได้ประสบการณ์ก่อน จะคุ้มค่ากับเวลาหนึ่งปี หรือสองปีที่จะลงทุนไปมั้ย วันนี้เจ๊จะมาสรุปให้เห็นเลยว่า นอกจากภาษาที่สามแล้ว สิ่งที่เราจะได้จากการ ไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นซักปี เราจะได้อะไรกลับมาบ้างกันค่ะ 1. ได้เพิ่มทักษะรอบด้าน / พัฒนาตนเอง เพราะปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งสังคม และ เศรษฐกิจ ซึ่งบุคคลากรที่บริษัทต้องการนับจากนี้ จะไม่ใช่เพียงคนที่เก่งเฉพาะด้าน แต่เป็นคนที่ เก่งรอบด้าน ค่ะ และ สิ่งที่สำคัญในการพัฒนาตนเองให้เก่งรอบด้านก็คือ ความรู้ ประสบการณ์ที่นอกเหนือจากสิ่งที่เราได้จากในห้องเรียน ซึ่งการไปใช้ชีวิตในต่างแดน ได้เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ เจอผู้คนที่หลากหลาย เข้าใจภาษาที่จะสื่อสารกับกลุ่มคนใหม่ ๆ มากขึ้นจะทำให้เรามีทัศนคติ และความรู้ที่กว้างขึ้นกว่าคนอื่นค่ะ 2.
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ในการลองทำในบางอาชีพ เช่น แพทย์ วิศวกร ฯลฯ เคยถามเพื่อน(คนดัชต์)ว่า จบ high school แล้วจะเข้าคณะอะไร มีส่วนนึงที่ตอบว่า อยากไปเที่ยว หรือฝึกงาน หาแรงบันดาลใจก่อน พอแน่ใจว่าจะเรียนอะไรแล้ว ชอบสิ่งนั้นถึงจะสอบเข้ามหาลัย เราก็แบบ เห้ยยยย!! ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรอ มันเหมือนกลายเป็นธรรมเนียมของประเทศไทยไปแล้ว ว่า จบมัธยม > สอบเข้ามหาลัย right away ใครไม่ทำตามนี้จะกลายเป็น คนแปลก คนไม่เอาไหน ทำไมไม่เรียน ว่างทำไมตั้ง1ปี (? ) ข้อเสียของคนไทยที่น่ารำคาญที่สุด คือ การแคร์คนอื่น(มากเกินไป) แคร์สังคมรอบข้าง(มากเกินไป) กลัวว่าเพื่อนจะหาว่าสอบไม่ติด นั่นส่งผล ให้อัตราการซิ่วของเด็กไทย เพิ่มขึ้นในทุกๆปี เหตุผลของการซิ่ว อ่าา… เรียนเพื่อคั่นเวลา เพราะสอบไม่ติดคณะที่ตัวเองต้องการ จะไม่เรียนก็ไม่ได้ คิดว่าชอบแต่กลับไม่ใช่ อย่างที่บอก ต้องเข้าไปสัมผัสถึงจะรู้ว่าชอบจริงๆหรือเปล่า สิ่งที่คิดมันไม่ได้เหมือนสิ่งที่เป็น สังคมในคณะนั้นๆ เข้ากับเพื่อนในคณะไม่ได้ อยู่แล้วไม่มีความสุข หลักๆ ก็คงจะเป็น ข้อ 1 และ ข้อ 2 1 ปี แค่ 365 วัน กระพริบตาไม่กี่ทีก็ครบแล้ว อย่าไปเสียดาย! สิ่งที่เราได้กลับมา อาจจะเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนอนาคตเราไปเลยก็ได้ อยากให้คนไทย ลองเปิดใจ เปิดใจให้ลูกๆ เปิดใจให้เพื่อน เปิดใจกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ในเมื่อเราเห็น การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาคือการลงทุน ทำไมไม่ลองตัดสินใจให้ดีดีก่อนการลงทุน?
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คุณก็จะได้รับประสบการณ์ คุณจะได้เรียนรู้ อย่าให้ความคิดกล้าๆ กลัวๆ มาขัดขวางและเป็นอุปสรรค 6. เรื่องการเงินก็สำคัญ วางแผนให้รัดกุมนิดนึง ทุกๆ การทำกิจกรรม ก็จะต้องมีในเรื่องของค่าใช้จ่ายเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามหากคิดจะ Grab year ก็อย่าลืมวางแผนในส่วนของการเงินด้วยเพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ถึงแม้คุณมีแพลนจะไปทำงานแต่ก่อนที่จะได้งานก็ต้องใช้เงินของตัวเองก่อนอยู่ดี!! แท็ก: CAMPUS, Gap Year, เทคนิคค้นหาตัวเอง